Monthly Archives: กรกฎาคม 2010

มนุษย์ค้างคาวกับอาร์ตเดคโค

ความจริงผมเซฟภาพนี้จากอินเตอร์เนทมานานแล้ว
และก็จำไม่ได้เสียด้วยว่าเอามาจากที่ไหน ต้องอภัยเจ้าของเดิมจริงๆ

ในสายตาผม ภาพนี้ไม่ได้เป็นแค่โปสเตอร์หนังซุเปอร์ฮีโร่ มนุษย์ค้างคาว
แต่เป็นงานออกแบบที่มีคุณค่าทางศิลปะเลยเชียวล่ะ
มีการจัดวางองค์ประกอบ เส้นสาย และสีสันได้อย่างมีรสนิยมและลงตัว
แตกต่างจากโปสเตอร์หนังการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ที่มักจะใส่สีสันกันเต็มที่

เค้าเรียกภาพสไตล์นี้ ว่า อาร์ตเดคโค (Art Deco)

ด้วยความชื่นชอบ ผมพยายามหาคำตอบว่า
ทำไมผู้ออกแบบถึงต้องทำมนุษย์ค้างคาวออกมาในสไตล์อาร์ตเดคโคนี่…

ว่ากันว่า อาร์ตเดคโค (Art Deco) เป็นสไตล์การออกแบบที่เกิดขึ้น
ในช่วงปี ค.ศ.1925 ถึง ค.ศ.1939 ที่มีอิทธิพลต่อศิลปะหลายแขนง
ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม การออกแบบภายใน การออกแบบอุตสาหกรรม แฟชั่น
ศิลปะ ภาพยนตร์ รวมถึงงานออกแบบกราฟฟิคดีไซน์

อาร์ตเดคโค เป็นอะไรที่ฮิตสุดๆ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
จัดว่าเป็นศิลปะของความหรู โมเดิร์นสุดๆ ในยุคนั้น
แต่เสน่ห์ของอาร์ตเดคโคก็มาเริ่มเสื่อมลงในช่วงต่อระหว่างปลายยุค 1930 กับยุค 1940
และก็กลับมาฮิตอีกครั้งยุค 1980  ตัวอย่างเด่นๆ ที่ยังเห็นกันอยู่ ก็มี ตึกไครส์เลอร์
ตึกเอ็มไพร์สเตท ในนครนิวยอร์ค ส่วนในไทยก็มี สนามกีฬาแห่งชาติ ที่ปทุมวัน
อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้น

กลับมาที่ มนุษย์ค้างคาว ที่เริ่มปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือรวมเรื่องการ์ตูน
ชุด “Detective Comics” เล่มที่ 27 ในปี 1939 และกลายเป็นภาพยนตร์ครั้งแรก
ในปี 1949 ทำออกมาสองภาค ภาคแรกชื่อ”The Batman
และภาคสองชื่อ “Batman and Robin” ส่วนหนังทีวีชุด เพิ่งมาสร้างในปี 1966

ถ้าดูจากช่วงเวลา ก็ต้องถือว่าร่วมสมัยกันพอดี
และก็มีเหตุผลพอที่ผู้ออกแบบจับอาร์ตเดคโคมาใส่ไว้ในงาน
…ไม่แปลกใจที่ มนุษย์ค้างคาวกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ก็มีเสน่ห์ในบรรยากาศของฉาก
มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในสไตล์อาร์ตเดคโค

พูดแล้วก็อยากได้ โปสเตอร์ของแท้ (อ๊ะ จะเป็นของรีพริ้นท์ก็ได้)
มาใส่กรอบประดับบ้านจริงๆ

คุณอาร์น่ารัก

ของแต่งห้องอย่างหนึ่งที่ดูอาร์ตๆ เท่ๆ
ที่ผมเห็นฝรั่งเค้ามักจะหามาจัดวางไว้อย่างหนึ่ง ก็คือ”ตัวหนังสือ”

ครับ… ตัวเอ ตัวบี ตัวซี นี่แหล่ะครับ
ยิ่งเก่า ยิ่งเท่ ยิ่งตัวใหญ่เท่าไร ยิ่งมีราคา

คุณ R ตัวนี้…มีคนเอามาประกาศขายในเวบครับ
ผมไม่ซื้อหรอก ผมเอามาดื้อๆ เลย

เค้าคุยว่า เป็นตัวหนังสือของ Drive – in เก่า
เดิมที่เป็นสีเหลืองขอบแดง
แต่มันผ่านวันเวลาจนซีด และสวย เท่ไปอีกแบบ
(ในสายตาคนที่ชอบแนววินเทจๆ อย่างนี้นะครับ)

ของเก่าๆ กลายเป็นมีราคาทันทีเลย…

รู้สึกว่า บ้านเราก็เริ่มมีร้านทำนองนี้แล้วนะครับ
เก่าจริงบ้าง แกล้งเก่าบ้าง

ทำเป็นเล่นไป
คนขายของเก่านี่ รวยนะครับ…

ภาพของ lacklusterco

ลดต้นทุน

ถูกกระชับพื้นที่

ไม่รู้จะมีทำไมถึงสี่ขา

ผู้คนเค้าก็หันไปพึ่งรถรา

ทำได้แค่เป็นม้าให้เค้าพนัน

อยากลดต้นทุนเหลือแค่สองขา

ไม่ต้องเปลืองค่าตัวจ๊อกกี้

วิ่งมันซะเอง…สบายดี

เป็นม้าแข่งแบบนี้

ไม่ต้องมีใครขี่ ให้เหนื่อยตัว…

คำเขา [5] – Rutherford

Quoted from commons.wikimedia.org

colors for a large wall

colors for a large wall, 1951
ellsworth kelly

หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ซักที…ทำไมผมถึงชื่นชอบภาพนี้นักหนา
ทั้งที่เป็นภาพที่วาดง่ายๆ ง่ายจนเคยพบว่าภาพนี้ถูกปรามาสว่า “เด็กเล็กๆ ยังวาดได้เลย”

เอาเถอะครับ…ปากคนก็เป็นงี้แหล่ะ

ภาพนี้เป็นผลงานของเอ็ลส์เวิร์ธ เคลลี่ (Ellsworth Kelly)
เป็นศิลปินแนว“ฮาร์ด-เอดจ์ เพ้นติ้ง” (Hard-Edge Painting) ที่ว่ากันว่าศิลปะแนวนี้
เกิดขึ้นในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1950-ปลาย 1960
เป็นจิตรกรรมที่นักวิจารณ์ศิลปะยุคนั้น ให้คำจำกัดความว่า “3ไม่”
คือ ไม่แสดงฝีแปรง ไม่แสดงอารมณ์ และไม่มีสีสันมากมาย

เอ่อ…แต่ผมก็ไม่เห็นว่าภาพนี้ จะมีสีสันน้อยเลยนะ (ฮา)

ฮาร์ด-เอดจ์ เพ้นติ้ง จะเน้นภาพที่มีลักษณะเป็นเรขาคณิต
มักมีเส้นรอบนอกหรือขอบที่คมชัด และแบนๆเป็น 2 มิติ
ด้วยเทคนิคการระบายสีแบบไม่ทิ้งทีแปรงให้เห็นแบบนี้
ทำให้เราไม่สามารถคาดเดาอารมณ์จากฝีแปรงได้เลย
เค้าถึงวิจารณ์กันว่า”ไร้อารมณ์” ซึ่งผมก็ว่าจริงของเค้านะ

แต่ภาพนี้…อาจจะพอเห็นฝีแปรงบ้างเล็กน้อย เห็นพื้นผิวของกระดาษ
และความข้นจางของสีที่ระบายลงไป
เพราะไม่ใช่ผลงานจริง เป็นเพียงภาพสเก๊ตช์ของศิลปิน
ที่มักจะวาดรูปเล็กๆ มาดูก่อน เหมือนเป็นงานทดลองน่ะครับ

จะว่าไป ผมชอบภาพนี้มากกว่างานจริงเสียอีก (ฮา)
อย่างนี้ จะพูดว่าผมชอบงานแนวฮาร์ด-เอดจ์ เพ้นติ้ง ได้หรือเปล่าน๊า…

ภาพจาก MOMA

รอยยิ้มมีอยู่รอบๆตัว

โลกน่าอยู่หรือไม่?

อยู่ที่ใจเราจะคิด

อยู่ที่สายตาเรามอง

ถ้าเกิดอยากจะกินไข่สองฟอง

ไม่ต้องปรึกษาท้อง…

กินเลย

😀

ภาพ – face ahoy

ดอกไม้อะไรก็ไหว้พระได้

วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา และเมื่อวานก็วันอาสาฬหบูชา
วันสำคัญทางศาสนาเหล่านี้ ปีนึงมีไม่กี่ครั้ง
ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่วันหยุดราชการเท่านั้น
แต่ยังเป็นการดึงผมให้กลับเข้าวัด และเตือนสติความเป็นชาวพุทธ
ที่ยอมรับว่า ห่างเหินออกมาเรื่อยๆ
จนรู้สึกว่า แทบจะไม่มีศาสนาเสียแล้ว

ผมยังมีศรัทธาในศาสนาอยู่ครับ
ไม่ว่าปัจจุบันนี้ จะมีผู้คนทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมลงยังไง

แต่สำหรับผม คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่เสื่อมครับ

ผมว่าหลายคน คงมีความรู้สึกเดียวกันกับผม
ที่มีศรัทธา แต่ว่าเก็บไว้ในใจ

แต่การไม่แสดงออกเสียเลย
จะทำให้เรากับศาสนาห่างออกไปเรื่อยๆ

ฉะนั้น วันสำคัญทางศาสนาเหล่านี้
จึงเป็นโอกาสอันดีมากๆ สำหรับผม

ไม่มีพิธีรีตองอะไรหรอกครับ นอกจากเข้าวัด และทำบุญ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เวียนเทียน ตามประเพณีด้วยความสงบ
ทุกอย่าง ทำอย่างเรียบง่ายที่สุด
ผมไม่ได้พกเงินไปทำบุญเยอะๆ และไม่ได้จัดเตรียมสังฆทานอะไรใหญ่โต

ที่บ้าน ผมหาดอกไม้ที่ปลูกไว้ในบริเวณบ้าน
ดอกไม้อะไรก็ได้ครับ ไหว้พระได้ทั้งนั้น
เพียงแค่ตอนเราไหว้ เราพนมมือ

และมือคู่นั้น ประทับวางไว้ที่กลางอก
ครับ …เราไหว้พระด้วยใจและศรัทธา

แค่นั้นก็พอ

สงครามพลังจิต

ลองมาทายกันดูสิว่า
พลังจิตของใครจะแกร่งกล้ากว่ากัน

ดูไปเรื่อยๆ นะครับ…
ผมไม่เฉลยละกัน

😛

original posted – dockera

always guessing

original posted – many small guesses

ชุดทำงาน?

“งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข”

ท่องเอาไว้…ท่องเอาไว้…ท่องเอาไว้…

ภาพ – dark roasted blend